การพัฒนาโปรแกรมเพื่อปรับปรุง
ความสามารถในการเคลื่อนไหวของเด็กสมองพิการ
วิทยานิพนธ์ ของ สาธิน ประจันบาน
สาขาวิชาพลศึกษา ภาควิชาพลศึกษา
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปีการศึกษา 2546
ความสำคัญของปัญหา
ในปัจจุบันโรคที่ทำให้เกิดความพิการทางร่างกายในเด็กที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ สมองพิการ(Cerebral Palsy) หรือเรียกอย่างย่อว่า เด็กพีซี (CP) อาการสมองพิการในเด็ก เป็นกลุ่มอาการที่มีความบกพร่องทางด้านการเคลื่อนไหวและท่าทางต่างๆ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการมีพยาธิสภาพของสมอง พยาธิสภาพนั้นอาจเกิดระหว่างตั้งครรค์ ระหว่างการคลอด หรือหลังคลอดไม่นานทำให้เกิดความพิการบกพร่องของการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อในการเคลื่อนไหว และการรับความรู้สึก
จากสภาพปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยเรื่องนี้มีความสนใจที่นำวิธีการฝึกการเคลื่อนไหวแบบโดสะโฮ(Dohsa – Hou) และวิธีการฝึกการเคลื่อนไหวแบบโบบาต (Bobath) มาศึกษา วิเคราะห์แนวคิด ข้อดีและข้อเสียของทั้งสองวิธี ซึ่งวิธีการเคลื่อนไหวแบบโดสะโฮ (Dohsa – Hou) มีแนวคิดที่ว่ากลไกทางจิตใจ นั้นสั่งร่างกายถึงจะเกิดการเคลื่อนไหว โดยก่อนที่จะเคลื่อนไหวได้นั้นจะต้องเริ่มจากความคิด ความตั้งใจ และนำไปสู่ความพยายามที่จะเชื่อมโยงไปสู่ร่างกายสั่งให้เกิดการเคลื่อนไหว
และวิธีการฝึกการเคลื่อนไหวแบบโบบาต (Bobath) ซึ่งมีแนวคิดที่ว่า สมองมีอิทธิพลในการควบคุมปรับแต่งส่วนรอบนอก (Periphery) ของร่างกาย และส่วนรอบนอกก็ควบคุมปรับแต่งสมอง หรือระบบประสาทส่วนกลางด้วย ส่วนรอบนอก และสมองเป็นลักษณะที่เปลี่ยนกันได้ กล่าวคือ เป็นวิธีการที่เร่งเร้าการเคลื่อนไหวปกติ โดยการฝึกร่างกายให้มีการเคลื่อนไหว โดยมีสมองเป็นตัวควบคุม และในทางกลับกันการฝึกทางร่างกาย เช่น แขน ขา ลำตัว ฯลฯ ก็สามารถไปควบคุมการทำงาน หรือปรับแต่งสมองให้ทำงานได้ดีขึ้น
โดยมีวิธีการฝึก 3 วิธีการใหญ่ๆ ได้แก่
1. กายภาพบำบัดและกิจกรรมบำบัด
2. กายบริหารบำบัด
3. การจัดสร้างภาวะมั่นคง มาใช้ฟื้นฟูสมรรถภาพของเด็สมองพิการในเรื่องความสามารถในการเคลื่อนไหว
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
พัฒนาโปรแกรม เพื่อปรับปรุงความสามารถในการเคลื่อนไหวของเด็กสมองพิการ
ขอบเขตการวิจัย
1. การวิจัยครั้งนี้มุ่งที่จะพัฒนาโปรแกรม เพื่อปรับปรุงความสามารถในการเคลื่อนไหวของเด็กสมองพิการ
2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทำวิจัยครั้งนี้ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจงจากกลุ่มประชากรจำนวน 8 คน โดยแบ่งออกเป็นเด็สมองพิการจำนวน 4 คน ซึ่งมีอายุระหว่าง 3-8 ปี เป็นเพศชาย 3 คน หญิง 1 คน และ พ่อแม่ ครู ญาติ หรือผู้ดูแลเด็กสมองพิการจำนวน 4 คน จากหน่วยงานมูลนิธิสถาบันแสงสว่าง โดยกลุ่มตัวอย่างทุกคนที่เป็นเด็กสมองพิการต้องได้รับการยินยอมเข้าร่วมในการวิจัยครั้งนี้จากผู้ปกครอง
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1. โปรแกรมการฝึกเพื่อปรับปรุงความสามารถในการเคลื่อนไหวของเด็กสมองพิการ
2. แบบประเมินความสามารถในการเคลื่อนไหวของเด็กสมองพิการ
3. แบบประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในเด็กสมองพิการ
4. แบบประเมินความถูกต้องในการปฏิบัติของพ่อแม่ ครู ญาติ หรือผู้ดุแลเด็กสมองพิการ
5. แบบบันทึกรูปภาพโดยการถ่ายรูปก่อนและหลังการฝึกใช้โปรแกรมเพื่อปรับปรุงความสามารถในการเคลื่อนไหวของเด็กสมองพิการ
สรุปผลการวิจัย
โปรแกรมฝึกเป็นโปรแกรมซึ่งแยกตามระดับความสามารถของเด็กสมองพิการ โดยผู้วิจัยได้แยกโปรแกรมการฝึกออกเป็น 4 เล่ม ตามลำดับพัฒนาการคือ 1. ระดับนั่ง 2. ระดับยืนบนเข่า 3. ระดับยืน 4. ระดับเดิน จากแบบประเมินความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างพบว่า โปรแกรมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประโยชน์มากสำหรับพ่อแม่ ครู ญาติ หรือผู้ดูแลสมองเด็กพิการและผู้ที่ต้องการอีกมากมายที่จะสามารถใช้ประโยชน์จากโปรแกรมที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมา และจะทำให้สามารถให้ความช่วยเหลือแก่เด็กสมองพิการได้อย่างถูกต้องซึ่งเนื่องมาจากเหตุผลต่อไปนี้
1. พัฒนาการของเด็กสมองพิการมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อสังเกตคะแนนของแบบประเมินความสามารถทางการเคลื่อนไหวของเด็กสมองพิการ
2. เด็กสมองพิการเกิดแรงจูงใจอยากกระทำมากขึ้น เมื่อสามารถปฏิบัติกิจกรรมนั้นๆได้
3. โปรแกรมฝึกประกอบด้วยภาพสีสวยงาม ชัดเจน มีข้อความอธิบายสั้นๆ อ่านง่าย
4. มีการย่อยขั้นตอนในการฝึกแต่ละขั้นอย่างละเอียด จนสามารถทำตามได้ง่าย
5. ทำให้รับรู้และเข้าใจในเด็กสมองพิการมากขึ้น